วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2559

Verb หรือ คำกริยา คืออะไรกันนะ ?






Verb คือ คำที่บอกถึงการกระทำอย่างชัดเจน หรือ สถานะของการกระทำ เราเรียกว่า “คำกริยา”


Main Verb คือ “กริยาแท้หรือกริยาหลักของประโยค”   ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด
Action verb คือ คำกริยาหลักของประโยคที่ “บอกการกระทำ” ของประทานในประโยค หรือ สถานะของการกระทำหลัก ในประโยคนั้น ๆ
ตัวอย่างเช่น
Mark kicks the ball (Main Action Verb)
The dog scratched its back (Main Action Verb)
The wind rustled the leaves.(Main Action Verb)
                       
Linking Verb คือ “กริยาที่เชื่อมเสริม“ประธานของประโยคกับส่วนเสริมประธานประโยค ซึ่งอาจเป็นคำนาม หรือ
คำคุณศัพท์ เพื่อแสดงความสัมพันธ์ว่าเป็นสิ่งเดียวกัน ซึ่งเป็นการขยายความบอกกริยาลักษณะของประธาน
ได้แก่   be( is,am, are, was, were, being, been), appear, become, grow, prove,
remain, seem, turn และคำกริยาที่บ่งบอกประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้แก่  look, sound,
smell, taste, feel
                       am a teacher. (Main Linking Verb)   
                       Sunny feels happy. (Main Linking Verb)   
                       Ron Swanson is the manager of the office.(Main Linking Verb)
ทั้ง Action verb และ Linking Verb สามารถใช้งานได้ 2 ลักษณะ คือ
Transitive Verb  คือ “กริยาที่ต้องการกรรมมารองรับ
เช่น sold,brought,is
                                              I sold some books. (Transitive Action Verb)
                                              I bought a radio. (Transitive Action Verb)
                                              My sister is at home.(Transitive Linking Verb)
Intransitive Verb คือ “กริยาที่ไม่ต้องการกรรมมารองรับ” แต่อาจมีส่วนขยายหรือไม่ก็ได้
เช่น  drink, move,are
                                              Cats drink. (Intransitive Action Verb)
                                              Buses move. (Intransitive Action Verb)
                                              Clocks are helpful. (Intransitive Linking Verb)


Pronoun หรือ คำสรรพนาม คืออะไรกันนะ

คำสรรพนาม ( pronoun)


คือ คำที่ใช้แทนคำนามและข้อความที่กล่าวถึงมาแล้ว หรือกำลังจะกล่าวต่อไป เพื่อจะได้ไม่ต้องกล่าวซ้ำ ลองพิจารณาข้อความต่อไปนี้ 

       a) Nadech is quite tall and chubby.    Nadech has large dark eyes hidden behind Nadech's glasses.  Nadech's thick eyebrows and thin lips make Nadech look serious.

       b) Nadech is quite tall and chubby.    He has large dark eyes hidden behind his glasses.  His thick eyebrows and thin lips make him look serious.

       ข้อความ a) ใช้คำนามคำเดียวกันตลอดซึ่งก่อให้เกิดความซ้ำซาก ในขณะที่ข้อความ b) ใช้คำสรรพนามรูปต่าง ๆ แทนคำนาม Nadech จึงทำให้ข้อความสละสลวยกว่า
     











Adjective และ ตำแหน่งของ Adjective ในประโยค

Adjective คืออะไร ?

Adjective คือคำคุณศัพท์ หมายถึงคำที่ไว้บอกลักษณะของสิ่งต่างๆเช่น กล่องๆหนึ่งสามารถมีลักษณะอะไรได้บ้าง มันอาจจะมีขนาดใหญ่หรือเล็ก มีสีดำหรือขาว ทำด้วยไม้หรือพลาสติก เป็นต้น
โดย ขนาด สี และวัสดุที่ใช้ทำคือ Adjective ที่ใช้ขยายกล่องใบนี้

Adjective ใช้อย่างไร ต้องวางที่ตำแหน่งไหน ?

ในภาษาอังกฤษ Adjective จะถูกวางที่ตำแหน่งหลักๆด้วยกัน 2 ตำแหน่ง ดังนี้

1. วางไว้หลัง Verb to be เพื่อสร้างประโยคที่มีใจความหลักอยู่ที่ Adjective นั้น

เช่น
He is tall. - เขาสูง

She is beautiful. - เธอสวย

I am fine. - ฉันสบายดี

ตัวอย่างข้างบนคือตัวอย่างแบบง่ายๆ แต่ว่าประโยคสามารถซับซ้อนได้เพราะว่า Verb to be ไม่ได้มีแค่ is, am, are  แต่มีด้วยกันทั้งหมด 7 คำ ได้แก่ is, am, are, was, were, been, be 

เช่น
He will be tall - เขาจะสูง

Don't be rude - อย่าหยาบคาย

You must be polite - คุณต้องสุภาพ

I want to be rich - ฉันอยากรวย

They were too young - พวกเขายังเด็กเกินไป(ในอดีต)

หลักการในการเลือกใช้ Verb to be ว่าต้องใช้คำไหนนั้นขึ้นอยู่กับแกรมม่าและความหมายของประโยค


2. วางไว้ด้านหน้าคำนามเพื่อขยายคำนามนั้น แต่ใจความหลักของประโยคจะไม่เกี่ยวกับ Adjective นั้น ไม่เหมือนกับในข้อ 1 ที่ใจความหลักคือ Adjective ที่ใช้ในประโยค

เช่น
tall man is playing basketball. - ผู้ชายสูงคนหนึ่งกำลังเล่นบาสเก็ตบอล 

Beautiful girls are usually mean. - คนน่ารักมักใจร้าย

This is a very old book. - นี่คือหนังสือที่เก่ามากๆ

นอกจากตำแหน่งหลัก 2 ตำแหน่งนี้แล้ว Adjective ยังสามารถถูกนำไปวางไว้ที่ตำแหน่งอื่นได้อีก ดังนี้


3. วางไว้ด้านหลัง Verb ที่แสดงถึงการมีคุณลักษณะของสิ่งต่างๆ เช่น look(ดู), seem(ดูเหมือนว่า), become(กลายเป็น), smell(มีกลิ่น), stay(คงไว้)


ตัวอย่างประโยค

This food smells delicious. - อาหารนี้มีกลิ่นน่าอร่อย

He looks nice. - เขาดูใจดี

She wants to become fat - เธออยาก(กลายเป็น)อ้วน 

They don't seem very sure. - พวกเขาดูเหมือนจะไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่

Eat right to stay healthy. - กินให้ถูกเพื่อ(คงไว้ซึ่ง)สุขภาพที่ดี

.......................................................................................................................................